ฉลากฉ้อฉน ที่หลายคน เข้าใจผิด!!!
No Sugar Added , Sugar Free ข้อความข้างกล่อง แปลว่าไม่มีน้ำตาลจริงหรือ?!!?
“ความเข้าใจผิดเมื่อดูฉลากอาหารนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างธรรมดา เพราะผู้บริโภคเกินกว่าครึ่งนั้นไม่ค่อยเข้าใจข้อมูลโภชนาการบนฉลากสักเท่าใด” จากบทความชื่อ 16 Most Misleading Food Labels
วันนี้แอดมินจึงอยากจะยกตัวอย่าง 2 วลี สุดฮิตที่มักพบบนฉลากสินค้าอาหาร ที่หลายคนมักเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆ(ว่าไม่มีน้ำตาล) มาให้เพื่อนๆได้เข้าใจกันมากขึ้นค่ะ ซึ่งวลีแรกก็คือ
Sugar free (ปราศจากน้ำตาล) ผู้บริโภคทั่วไปมักเข้าใจ (เอง) ทันทีที่เห็นวลี Sugar free หรือ ไม่มีน้ำตาล บนฉลากอาหารว่า ไม่มีน้ำตาลทรายเลยสักโมเลกุลเดียว แต่จริงๆแล้ว ผลิตภัณฑ์ Sugar Free บางชนิดก็อาจจะแฝงไปด้วยสารให้ความหวาน ซึ่งสารให้ความหวานบางตัวทำหน้าที่หลอกลิ้นเราว่าหวานแต่สมองที่ต้องการน้ำตาลจริง ไม่ได้รับความหวานตามที่ต้องการ จึงทำให้เรากินมากขึ้นเพื่อรับน้ำตาลตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และ พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ไว้ว่า การบริโภคน้ำตาลเทียมต่อเนื่อง กระตุ้นกลไกในสมอง ส่งผลให้สมองโหยหาอาหารมากขึ้น หิวเก่งขึ้น และกินมากขึ้นกว่าปกติราว 30% ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการกินไปแบบไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไร พบว่า เมื่อกินน้ำตาลเทียมร่วมกับอาหาร จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดขึ้นสูงกว่าการกินอาหารกับน้ำเปล่า นั่นหมายความว่า แม้น้ำตาลเทียมจะไม่ใช่น้ำตาล แต่ก็กระตุ้นการตอบสนองของอินซูลินในร่างกาย และมีความเป็นไปได้ ที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงหรือเบาหวานได้เช่นกัน
No sugar added (ไม่เติมน้ำตาล) วลีนี้มีการใช้มากพอควรเพื่อเรียกร้องความสนใจจาก ลูกค้าที่กำลังควบคุมน้ำหนักหรือ (กำลังจะ)เป็นผู้ป่วยเบาหวานซึ่งต้องการกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำ
น้ำตาลที่อยู่ในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ มีอยู่หลายชนิด แต่หากอธิบายคร่าวๆ ในกรณีนี้ หมายถึง น้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารเหล่านั้นตามธรรมชาติ (Naturally occurring sugar) เช่น น้ำตาลจากผัก ผลไม้ นมสด ที่เป็นรสหวานจากน้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารเหล่านั้นตามธรรมชาติ อีกชนิดคือน้ำตาลที่ใส่เพิ่มลงไปเองโดยผู้ผลิต (Added Sugar) ที่เห็นง่ายๆ คือ เหล่าขนมต่างๆ ที่มีการเติมน้ำตาลเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติหวานให้กับอาหารเหล่านั้น
ดังนั้น จะเห็น และสรุปได้ง่ายๆ ว่า “No Sugar Added” หมายถึง “ไม่มีการเติมน้ำตาลเพิ่ม” หมายถึงยังคงน้ำตาลตามธรรมชาติในอาหารเหล่าน้้นอยู่นั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลจากสารทำแทนความหวาน , น้ำผึ้ง, หรือผลไม้เองก็ตาม หากรับประทานมากเกินจำเป็น ก็อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นกันนะคะ และ น้ำตาลทรายก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่โทษซะทีเดียว เพราะร่างกายยังต้องการน้ำตาลเพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักคือไม่ว่าจะรับประทานน้ำตาลชนิดใด ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่เกินความต้องการของร่างกาย โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณน้ำตาลที่เติมเพิ่มในอาหารว่าไม่ควรเกินร้อยละ10 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน หรือประมาณ 200 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี และข้อมูลธงโภชนาการของคนไทยยังแนะนำให้บริโภคน้ำตาลที่เติมเพิ่มในอาหารไม่เกิน 4 6 และ 8 ช้อนชา สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 1,600 2,000 และ 2,400 กิโลแคลอรีต่อวันตามลำดับ
ซึ่งน้ำตาลพราว ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการบริโภคน้ำตาลของคนไทย เราจึงพัฒนาน้ำตาลขวดที่มีนวัตรกรรมฟังก์ชันฝาจ่ายตวงปริมาณน้ำตาลได้ โดยแบ่งเป็น2ฝั่ง ฝั่งฝาบนเทน้ำตาลได้อย่างต่อเนื่อง และฝาล่างสามารถตวงน้ำตาลได้ 1ช้อนกาแฟต่อการเท1ครั้ง ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการกำหนดการใช้ปริมาณน้ำตาลต่อวัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล